หมวดหมู่ประเภทกฎหมาย คำพิพากษาศาลฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 108/2545 ประนีประนอมยอมความ (มาตรา 850, 852)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  108/2545                                      
                              นางจันทร์  อดทน                         โจทก์
                              นางอำไพ  ทองมี                          จำเลย

แพ่ง  ประนีประนอมยอมความ  ผลการประนีประนอมยอมความ  (มาตรา  850,852)

วิธีพิจารณาความแพ่ง   อำนาจฟ้อง  (มาตรา  55)

     โจทก์จำเลยพิพาทกันเรื่องที่ดิน  นายอำเภอเรียกโจทก์และจำเลยมาเจรจากันโดยมีการบันทึกคำเปรียบเทียบไว้ว่าจำเลยตกลงแบ่งที่ดินให้แก่โจทก์ตามส่วนที่ตกลงกัน  บันทึกคำเปรียบเทียบดังกล่าวมีลักษณะเป็นการตกลงระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่มีอยู่แล้วในขณะนั้นให้เสร็จไป  จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  850  อันมีผลให้สิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวอีก  คงมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  852  เท่านั้น

     โจทก์ฟ้องว่า  โจทก์เป็นบุตรนายคุย  พลหล้า  ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส.  3  ก)  เลขที่  903,  915  และ  2246  ตำบลกู่กาสิงห์อำเภอเกษตรวิสัย  จังหวัดร้อยเอ็ด  หลังจากนายคุยถึงแก่ความตาย  จำเลยได้ไปแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าจำเลยเป็นบุตรนายคุย  เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสามแปลงใส่ชื่อจำเลยในฐานะผู้รับมารดก  โจทก์ซึ่งเป็นทายาทเพียงผู้เดียวของนายคุยได้รับความเวียหายไม่สามารถจดทะเบียนรับโอนทรัพย์มรดกได้จอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนเพิกถอนการรับโอนมรดกที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

     จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า  ที่พิพาททั้งสามแปลงเดิมเป็นของนางบูดมารดาจำเลย  แต่นางบูดให้นายคุยใส่ชื่อใน  น.ส.  3  ก.  แทน  ปี  2502  นางบูดยกที่พิพาททั้งสามแปลงให้โจทก์และจำเลย  โดยโจทก์ได้รับเฉพาะบางส่วนของที่ดิน  น.ส.  3  ก.เลขที่  915  ส่วนที่เหลือเป็นของจำเลย  และภายหลังโจทก์ได้ขายที่ดินส่วนที่ได้รับยกให้ดังกล่าวแก่จำเลยในราคา  2,000  บาท  ที่พิพาทจึงตกเป็นของจำเลยทั้งหมด  จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทตลอดมา  ที่จำเลยแจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่านายคุยเป็นบิดาจำเลยก็เพื่อความสะดวกในการจดทะเบียนโอนที่ดิน  ไม่ทำให้โจทก์เสียหาย  โจทก์เลยแจ้งความต่อนายอำเภอเกษตรวิสัยว่าจำเลยแจ้งความเท็จ  และได้มีการเจรจาตกลงกันโดยจำเลยจะยกที่พิพาทบางส่วนให้แก่โจทก์  และโจทก์จะไม่ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยอีก  แต่โจทก์ผิดสัญญาไปแจ้งความดำเนินคดีอาญาแก่จำเลย  จำเลยจึงไม่แบ่งแยกที่พิพาทให้แก่โจทก์ตามที่เคยตกลงกัน  โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง  คดีขาดอายุความแล้ว  ขอให้ยกฟ้องและห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาท

     โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า  จำเลยใช้สิทธิไม่ถูกต้องตามกฎหมายในการโอนเปลี่ยนอปลงทางทะเยียน  จึงไม่ได้สิทธิใดๆในที่พิพาท  ขอให้ยกฟ้องแย้ง

     ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนเพิถินการารับดอนมรดกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. 3  ก.)  เลขที่  903,  915,  และ  2246  ตำบลกู่กาสิงห์  อำเภอเกษตรวิสัย  จังหวัดร้อยเอ็ด  หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย  ให้ยกฟ้องแย้ง

     จำเลยอุทธรณ์
     ศาลอุทธรณ์ภาค  4  พิพากษายืน
     จำเลยฎีกา

     ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า   โจทก์เป็นบุตรนายคุยกับนางบุญ   พลหล้า   ส่วนจำเลยเป็นบุตรนาย วัลย์   ลาวัลย์กับนางบูด   พลกล้า   หลังจากนางบุญและนายวัลย์ถึงแก่ความตาย    นายคุยกับนางบูดได้จดทะเบียนสมรสอยู่กินเป็นสามีภริยากันต่อมาในปี   2534   นายคุยถึงแก่ความตาย   ปี  2538  จำเลยไปดำเนินการใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดิน  น.ส. 3 ก.  เลขที่  903,  915  และ  2246  ตำบลกู่กาสิงห์  อำเภอเกษตรวิสัย  จังหวัดร้อยเอ็ด  โจทก์ได้ร้องเรียนต่อนายอำเภอเกษตรวิสัยกล่าวหาว่าจำเลยแจ้งความเท็จ  ที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวเป็นมรดกของนายคุยตกได้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง  นายอำเภอเกษตรวิสัยเรียกโจทก์จำเลยมาเจรจากันและจำเลยตกลงจะแบ่งที่ดินตาม  น.ส. 3  ก.  เลขที่  915  จำนวน  20  ไร่  เลขที่  607  จำนวน  1  งาน  ให้แก่โจทก์  โดยจะดำเนินการแบ่งให้หลังจากมีการออกโฉนดที่ดินดังกล่าวแล้ว  ตามบันทึกคำเปรียบเทียบดังกล่าวมีลักษณะเป็นการตกลงระงับข้อพิพาทระหว่างโจก์กับจำเลยที่มีอยู่แล้วในขณะนั้นให้เสร็จไป  จึงเข้าลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  850  จึงมีผลให้สิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์จำเลยที่มีอยู่ต่อกันนั้นระงับสิ้นไปโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเกี่ยวกับที่ดิน  น.ส.  3  ก.  เลขที่  903,  915  และ  2246  ดังกล่าว  โจทก์คงมีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความเท่านั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งมาตรา  852  ปัญหาเรื่องนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน  แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา  ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  142  (5)  ประกอบมาตรา  246,  247  ที่ศาลอุทธรณ์ภาค  4  พิพากษามานั้น  ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยคดีไม่จำต้องวินิจฉัยวินัจฉัยฎีกาของจำเลยต่อไป”

     พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์  แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่ภายใต้บงคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ  นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค  4

                  (มงคล  ทับเที่ยง  -  สุรพล   เจียมจูไร  -  วิศณุ  เลื่อมสำราญ) 

จิตฤดี สัระเวส  -  ย่อ
อ้างอิง  คำพิพากษาศาลฎีกา ที่  108/2545  สำนักงานศาลยุติธรรม  เล่มที่  1  พ.ศ.  2545

 

หมายเหตุ: ข้อมูลหรือบทความที่ปรากฏในเว็บไซต์นี้จัดทำขึ้น
โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อการศึกษา, วิจัยกฎหมายและแนะนำผลงานของผู้เขียนข้อมูลหรือบทความนั้นๆ เพื่อให้เกิด
ความเข้าใจในกฎหมาย และมุ่งประโยชน์ ต่อส่วนรวมเป็นสำคัญ โดยมิได้กระทำเพื่อหากำไรในทางการค้าแต่อย่างใดทั้งสิ้น