หมวดหมู่ประเภทกฎหมาย คำพิพากษาศาลฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4517/2543 พ.ร.บ.ล้มละลายฯ (มาตรา 8 )

คำพิพากษาฎีกาที่ 4517/2543  
                                                               กรมสรรพากร           โจทก์
                                                               นางสำรวย วงเวียน     จำเลย
 
พ.ร.บ. ล้มละลายฯ (มาตรา 8)

     จำเลยได้รับหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2531 และวันที 17 กุมภาพันธ์ 2532 เป็นการที่จำเลยได้รับหนังสือทวงถามไม่น้อยกว่าสองครั้งซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวันแล้ว แม้หนังสือทวงถามครั้งที่สามและครั้งที่สี่ที่โจทก์ส่งให้จำเลยเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2540 และวันที่ 6พฤศจิกายน 2540 จะเป็นการส่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยได้ย้ายออกจากบ้านที่ได้ส่งหนังสือแล้ว และมีระยะเวลาห่างจากการส่งหนังสือทวงถามในครั้งแรกและครั้งที่สองเป็นเวลาเกือบ 9 ปี ก็ตาม แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไปในทางที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด กรณีถือได้ว่าจำเลยต้องข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวแล้ว

     โจทก์ฟ้องว่าจำเลยไม่ชำระหนี้ภาษีอากรรวมเป็นเงิน 66,558 บาท ภายในกำหนด และมิได้ยื่นอุทธรณ์การประเมินภาษีของเข้าพนักงานประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หนี้ภาษีอากรดังกล่าวจึงเด็ดขาด โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว 4 ครั้ง ระยะเวลาห่างกันเกินกว่า 30 วัน แต่จำเลยไม่ชำระและจำเลยไม่มีทรัพย์สินใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ พฤติการณ์ของจำเลยเข้าข้อสันนิษฐานว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย

     จำเลยไม่ยื่นคำให้หารและขาดนัดพิจารณา
     ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
     โจทก์อุทธรณ์
     ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษา

โจทก์ฎีกา

     ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “การที่จำเลยได้รับหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2531 และวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2532 นั้นเป็นการที่จำเลยได้รับหนังสือทวงถามไม่น้อยกว่าสองครั้งซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวันแล้ว เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์กรณีจึงเข้าข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8(9) แม้หนังสือทวงถามครั้งที่สามและครั้งที่สี่ที่โจทก์ส่งให้จำเลยเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2540 และวันที่ 6 พฤศจิกายน 2540 จะเป็นการส่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยได้ย้ายออกไปจากบ้านที่ได้ส่งหนังสือแล้ว และมีระยะเวลาห่างจากการส่งหนังสือทวงถามในครั้งแรกและครั้งที่สองกับห่างจากการตรวจสอบทรัพย์สินของจำเลยเป็นเวลาเกือบ 9 ปีก็ตาม แต่ก็ไม่

     ปรากฏว่ามีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไปในทางที่แสดงให้เห็นว่า จำเลยมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ประกอบกับ

     ปรากฏจากบันทึกการเร่งรัดหนี้สินเอกสารหมาย จ.10 ว่า จำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ 68,558 บาท จริงและขอผ่อนชำระเดือนละ 2,000 บาท ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2532 และภายในสิ้นเดือนของเดือนถัดไป แต่จำเลยก็ชำระให้โจทก์เพียงครั้งเดียวในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2532 ดังที่ปรากฏในเอกสารหมาย จ.1 หลังจากนั้นจำเลยไม่ชำระให้โจทก์อีก การที่โจทก์ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมาถึง 9 ปี จึงได้ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้อีกนั้น เป็นการแสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้ผ่อนผันและให้โอกาสจำเลยจนถึงที่สุดแล้วเมื่อคำนึงถึงหนี้ที่ค้างชำระเป็นหนี้ค่าภาษีอากรที่จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระประกอบกับปรากฏจากสำเนาทะเบียนบ้านที่โจทก์ส่งตามคำแถลงลงวันที่ 2 เมษายน 2541 ว่า จำเลยถูกย้ายออกไปอยู่ในทะเบียนบ้านกลางเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2534 อันเป็นการแสดงให้เห็นว่า จำเลยออกจากบ้านที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไปอยู่ที่อื่นเกินหนึ่งร้อยแปดสิบวันโดยเจ้าบ้านไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ใดตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 มาตรา 33 และเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่มีที่อยู่และประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่ง อันจะมีรายได้ชำระหนี้ให้โจทก์ กรณีจึงฟังได้ว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวและไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”

     พิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา14

(ชวลิต ยอดเณร  - จำลอง สุขศิริ – อภิศักดิ์ พรวชิราภา)               

อ้างอิง : คำพิพากษาศาลฎีกา เล่มที่ 10, สำนักงานศาลยุติธรรม, พ.ศ.2545
 

หมายเหตุ: ข้อมูลหรือบทความที่ปรากฏในเว็บไซต์นี้จัดทำขึ้น
โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อการศึกษา, วิจัยกฎหมายและแนะนำผลงานของผู้เขียนข้อมูลหรือบทความนั้นๆ เพื่อให้เกิด
ความเข้าใจในกฎหมาย และมุ่งประโยชน์ ต่อส่วนรวมเป็นสำคัญ โดยมิได้กระทำเพื่อหากำไรในทางการค้าแต่อย่างใดทั้งสิ้น